วันอาทิตย์, มีนาคม ๒๘, ๒๕๕๓

แผนก่อการร้ายขั้นสูงสุด!!!

ช่วยหนูด้วย.....


เขียน ณ วันที่ 27 มีนาคม 2553 ที่ อ.แม่สอด จว.ตาก ขณะที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงสับสน คนไทยแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเป็นสีต่างๆ ผมไม่เข้าใจว่าจะแบ่งกันไปทำไมกัน ประเทศไทยจะกลายเป็นสลิ่มอยู่แล้ว จะใส่เสื้อออกจากบ้านก็ต้องระมัดระวัง เดี๋ยวจะกลายเป็นพวกนั้นพวกนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ขอบอกไว้ก่อนนะว่า “ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ผมเป็นสีเดียว คือ สีกากี เท่านั้น และเป็นมานานแล้วด้วยตั้งแต่รุ่นพ่อ และขอเขียนเป็นบทความเชิงวิชาการสักเรื่องก็ละกัน เพื่อเป็นวรรณกรรมร่วมสมัยในประวัติศาสตร์วันนี้ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงรับแข้งจากสีต่างๆ ตาม ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมมีความเห็นว่า การเรียกร้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญของคนไทย หลายๆครั้ง ทำเกินขอบเขตไป สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่กันอย่างปกติสุข หลายครั้ง เป็นการเรียกร้องสิทธิของตนเองหรือพรรคพวกตนโดยละเมิดสิทธิของผู้อื่น ผมไม่เห็นด้วยกับการปิดถนน ปิดสนามบิน ยึดทำเนียบ เอาเลือดไปเททิ้ง สร้างสถานการณ์ ฯลฯ ตามรัฐธรรมนูญเค้าให้ชุมนุมเรียกร้องกันได้ แต่ต้องโดยสงบเรียบร้อยดิ จะเรียกร้องอะไรก็ตามสบายเลยลูกพี่ แต่อย่าเอาประเทศชาติเป็นตัวประกันอีกนะ ในฐานะของคนที่อยากเป็นนักวิชาการอิสระ (ผมไม่รู้ว่าเค้าต้องทำกันอย่างไร ถึงจะได้เป็นอ่ะ ใครรู้ช่วยแนะนำหน่อยนะ) ผมขออนุญาตใช้บรรดาสรรพความรู้ทั้งหลายที่เรียนมาวิเคราะห์ม๊อบ ทั้ง2 สี แต่ก็ขอเน้นย้ำนะว่า ผมไม่ฝักใฝ่สีอะไรทั้งสิ้น สีเหลือง ก่อนนะ จากที่ผ่านมา ถือได้ว่าสีเหลืองบรรลุจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้ คือ โค่นล้มรัฐบาลในสมัยนั้นได้สำเร็จ ปัจจัยของความสำเร็จของเค้า ผมคิดว่า คือ ความสามารถของแกนนำแต่ละคน มีทั้งลูกบู๊ ลูกบุ๋น ครบเครื่อง สำคัญที่สุด คือ เค้ามีการบริหารจัดการเป็นระบบ มีทีม organize ที่ดี มีกิจกรรมตลอด มีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนไม่เบื่อ อยากติดตาม มีการใช้สื่อต่างๆ ทำให้ปลุกกระแสสังคมได้เป็นอย่างดี แม้ว่าหลังจากการเปลี่ยนรัฐบาลได้ตามความมุ่งหมายแล้ว เค้ายังทำการบ้านเตรียมไว้อีก มีสินค้าพันธมิตรออกขาย เกาะกลุ่มมวลชนไว้ตลอด ถือได้ว่าการจัดการเค้าเข้มแข็ง แกนนำมีแนวความคิดชัดเจน ไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนสีแดง ผมคิดว่า สิ่งแรกคือ การจัดองค์กรเค้ายังไม่ชัดเจน มีหลายกลุ่มเกินไป แต่ละกลุ่มก็ไปคนละทิศคนละทาง ทำให้กองเชียร์สับสน และภาพของความสามัคคีของแกนนำระหว่างกลุ่มดูไม่ค่อยสามัคคีกันเท่าไร การพูดบนเวทีผมว่ายังสู้สีเหลืองไม่ได้ โดยนิสัยคนไทยทั่วไปแล้ว ไม่นิยมการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนชาติเดียวกัน จะเห็นได้จากเมื่อเดือน เม.ย. 52 สีแดงต้องยุติการชุมนุม เนื่องการมีการใช้รถแก๊สไปปิดถนนที่แฟลตดินแดง และมีการยิงชาวบ้านที่นางเลิ้ง ประชาชนเริ่มมีปฏิกิริยาแรงขึ้น จึงต้องหยุดพัก แล้วกลับไปแก้ไขยุทธวิธีใหม่ กลับมาครั้งนี้ เริ่ม 14 มี.ค.53 ผมก็เห็นว่าสีแดงเค้าวาง concept มาดีขึ้น พยายามไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็มีผลเสียคืออารมณ์ร่วมไม่คืบหน้า ถ้าชุมนุมไปอย่างนี้เรื่อยๆ รัฐบาลยิ้มได้เลย เพราะว่ากลุ่มสีแดงก็จะเหนื่อยล้า หมดแรง หมดตังค์ด้วย สุดท้ายก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง อันนี้ สมมุติว่า ถ้าผมเป็นโค้ชให้สีแดงนะ ( สีเหลืองไม่ว่ากันนะ ก็สีเหลืองชนะไปแล้วนี่นา ) ผมจะใช้ยุทธวิธีที่ใช้กำลังคน กำลังทรัพย์ และเวลาให้น้อยที่สุด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และเชื่อว่าทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องสนับสนุนให้เกิดผลตามโจทย์ที่เราได้ตั้งเอาไว้ ผมขอเรียกแผนการณ์นี้ว่า “แผนซวยหมี 53” แนวคิดของ “แผนซวยหมี 53” นี้ก็คือ เราต้องวิเคราะห์ก่อนนะว่า ขณะนี้สิ่งที่คนไทยกำลังชื่นชมมากๆๆๆๆ คืออะไร ................... คำตอบนึงก็คือ “หลินปิง” เจ้าลูกหมีแพนด้าที่แสนน่ารัก แทนที่เราจะเอาประเทศชาติเป็นตัวประกัน เรามาเปลี่ยนเป็นจับเจ้าหมีน้อยหลินปิงเป็นตัวประกันโดยใช้ชุดเฉพาะกิจที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ผมเชื่อว่าใช้คนไม่เกิน 10 คน ลักลอบเข้าไปในสวนสัตว์เชียงใหม่ ลักพาตัวเจ้าหมีน้อยไป จากนั้น ก็หากล้องวีดีโอ ถ่ายภาพการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา หรืออะไรก็ได้ตามที่ต้องการ โดยจัดฉากให้เหมือนกับขบวนการก่อการร้ายข่มขู่ที่เราเคยดูกัน เป็นต้นว่า ใส่หน้ากาก แล้วอุ้มเจ้าหมีน้อยหลินปิง เอามีดจี้คอหอยให้มันดิ้นดุ๊กดิ๊ก แล้วก็เรียกร้องพร้อมยื่นเส้นตายไปเลย จะเอาอะไรก็เอา จากนั้นก็ปล่อยใน internet ให้คนเข้าไปดู เห็นมั๊ยว่าใช้คนกับตังค์แค่นิดเดียวเอง ผมเชื่อว่าผลที่จะได้รับ มีอยู่ 2 ทาง คือ 1. คนไทยทั้งประเทศต้องออกมาปกป้องชีวิตเจ้าหมีน้อย คนทั้งประเทศต้องออกมากดดันรัฐบาลทำตามข้อเรียกร้อง นอกจากนี้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะมหาอำนาจจีน ต้องออกมากดดันรัฐบาลไทยให้ทำตามข้อเรียกร้องอย่างแน่นอน ยังงี้สำเร็จได้ภายในไม่กี่วัน ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ประเทศชาติก็ไม่ช้ำ 2. หากผลการปฏิบัติไม่เป็นตามข้อ 1. ผมว่าทั้งผมและไอ้ชุดปฏิบัติการพิเศษ 10 คนนั่น คงโดนคนทั้งโลก สหบาทาแน่ๆ แล้วคุณล่ะ คิดว่าผลจะออกมาเป็นยังไง !!! แต่ผมขอสงวนลิขสิทธิ์นะ ห้ามทุกสีเอาแผนของผมไปใช้โดยเด็ดขาด... เดี๋ยวหมีจะซวย...
ปล. อย่าเอาประเทศไทยไปเป็นตัวประกันอีกนะ ขอร้องล่ะ

วันอังคาร, มกราคม ๒๙, ๒๕๕๑

ภรรยา (อีกแล้ว)

นึกไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร ก็ต้องวนมาเขียนเรื่องภรรยาสุดที่เคารพอีกจนได้ ก็มันเป็นเรื่องที่นึกได้ง่ายที่สุด และก็เยอะที่สุดนี่นา เชื่อว่าทุกคนที่มีภรรยา (เป็นของตนเอง) น่าจะคิดเหมือนกับผม กาลครั้งหนึ่ง ยังไม่ค่อยนานเท่าไร ขณะที่กระผมรับราชการอยู่ที่ สภ.กิ่ง อ.เทพารักษ์ โคราช กระผมมีหน้าที่ต้องกลับบ้านทุกอาทิตย์ หลายคนอาจมีคำถามอยู่ในใจ “ทำไมมึงต้องกลับทุกอาทิตย์วะ?” คำตอบก็คือว่า “กูต้องกลับมาปฏิบัติหน้าที่สามีที่ดี” เรื่องจริงๆนะนี่ ขอบอก คำถามต่อมา “หน้าที่สามีที่ดีของมึงคืออะไรวะ” “เอาเรื่องจริงมาคุยกันเลยนะ ซักผ้าทุกชนิดที่มีอยู่ในบ้าน ล้างจาน อาบน้ำหมา (บางแก้ว) ซื้อของเข้าบ้าน ... ฯลฯ แล้วแต่ภรรยาที่เคารพจะนึกได้” ก็ภรรยาผมสอนไว้ว่า “เชื่อภรรยาเหอะ ได้ดีทุกคน” ด้วยความเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจที่ถูกฝึกฝนมาให้มีวินัย แม้ว่าบางครั้งจะฝืนความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ผมก็ปฏิบัติตามด้วยความเคร่งครัดเสมอมา (เต็มที่...แต่ไม่เต็มใจ...โว้ยยยยยยยย) และด้วยความที่รถก็เก่า เมียก็..................น่ารัก ก็เกิดเรื่องให้มาเขียนอีกจนได้ กลางดึกคืนหนึ่ง (ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ) หลังจากที่กระผมตรากตรำทำหน้าที่ข้าราชการตำรวจที่ดีมาตลอดสัปดาห์ ผมก็รีบขับรถยนต์ เมอร์ซิเดส เบนซ์ รุ่นใหม่ล่าสุด (เมื่อซักสามสิบปีที่แล้ว) กลับมาถึงเรือนจำ (บ้านแม่กะทินั่นแหละ) มาถึงก็ดึกแล้ว ผมก็ล้มตัวนอนด้วยความเหนื่อยล้า แต่แล้วก็ได้มีเสียงสวรรค์ปลุกผมตั้งแต่ตีห้า กะทิ : “วันนี้ไม่ต้องไปไหนะ เอารถมายืมหน่อย จะพาพี่ๆที่มาจากทางใต้ไปอัดรายการจมูกมดหน่อย รถเธอคันใหญ่ดี นั่งได้หลายคน” (วันนั้น เป็นวันที่พวกสตรีเหล็ก พฐ.ที่ทำงานอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาออกรายการจมูกมด) ผม : “ค้าบบบบบบบ” (ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอยู่แล้วนี่ จะต้องมาขอทำไมวะ เสียเวลานอนเปล่าๆ และแม่ของผมก็สอนไว้ว่า รบกวนคนกำลังหลับ บาปกรรมนะ) อันนี้ผมคิดในใจนะ ไม่กล้าออกเสียง กะทิ : “อย่าลืมเปิดช่อง ๗ ดูด้วยนะ” ผมนึกในใจ “คงจะเปิดหรอก นอนต่อดีกว่า ง่วงอิ๊บอ๊าย” แต่ก่อนจะสิ้นสติไป เปลือกตาขวาผมเริ่มกระตุกสองสามครั้ง ลางไม่ดีแล้วกู เรื่องมันน่าจะจบแค่ผมนอนหลับเต็มที่ ตื่นมาหาข้าวกิน แล้วก็ปฏิบัติหน้าที่สามีดีเด่นแห่งชาติ แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ อีก ๓ ชั่วโมงต่อมา “กริ๊ง ๆๆๆๆๆ” เสียงโทรศัพท์ดังข้างหู ผม : “อาโหล” ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ ต่อมาก็มีแต่เสียงแม่ภรรยาสุดเคารพของผมกระแทกมาตามสายโทรศัพท์ จนโทรศัพท์แทบจะระเบิด ผมพอจับใจความได้เท่าที่สติในขณะนั้นพอจะมี “นี่..คิดจะฆ่าชั้นหรือไงยะ ไม่อยากให้ยืมรถก็บอกกันดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องทำยังงี้เลย มันหมายความว่ายังไง..................” อะไรวะ รถก็ให้ยืมแล้ว คนจะนอนซะหน่อย จะเอาอะไรอีกวะ ด้วยความโกรธสุดขีดที่ถูกปลุกถึง ๒ ครั้งในตอนเช้า กระผมจึงสวนกลับไปว่า “เธออยู่ไหน เป็นอะไรเหรอ” กะทิ : “ล้อหลุดน่ะดิ ชั้นอยู่หน้าโรงพยาบาลรามา ไปชนรถของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ด้วย ดีนะที่ไม่หลุดบนทางด่วน กะจะฆ่าให้ตายเลยเหรอ” ผม : “ป่าวคับ ใครจะกล้า ว่าแต่ว่าล้อหลุดไหนล่ะ” กะทิ : “ล้อหลัง ด้านซ้าย” ผมนึกขึ้นมาได้ ก่อนกลับจากโคราช ผมเพิ่งไปเปลี่ยนยางมา ๔ เส้น ต้องเป็นเพราะเรื่องนี้แหงๆ แล้วไอ้ที่เวลารถวิ่งแล้วเสียงดัง ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเพราะเปลี่ยนยางมาใหม่ มันคงยังไม่เข้าที่ ที่แท้เป็นเพราะมันขันน๊อตไม่แน่นนี่เอง ผม : “เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ รถเสียไม่เป็นไรซ่อมได้ เอาเข้าร้านซ่อมไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวไปจ่ายตังค์ให้” ผมตอบไปตามวิชาการเจรจาฯ ที่ได้ศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อให้กะทิฟังดูแล้วสบายใจ และผมก็ดูเป็นคนดีในสายตาของเธอ หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว ผมเหมือนคนเสียสติ เอาหัวโขกที่นอนสามที แล้วสบถกับตัวเองว่า “ไอ้ร้านยางบ้า ทำไมมึงขันน๊อตไม่แน่นแค่ล้อเดียววะ”

วันศุกร์, กรกฎาคม ๑๓, ๒๕๕๐

ทุกปัญหา....แก้ไขได้

เรื่องภรรยานี้เป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ล้าสมัยแน่นอน ผมเชื่อว่า topic นี้มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว จากการสังเกตุของผมเอง เห็นว่าการที่ผู้ชายสนทนากันเกินกว่า 3 คน หนึ่งในหัวข้อการสนทนาก็คือ “ศรีภรรยา” นั่นเอง และผมเชื่อว่าต้องเป็นทั่วโลกแน่ๆ ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไปราชการที่ประเทศมัลดีฟ และใช้ชีวิตร่วมกับตำรวจมัลดีฟเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อนสนิทของผมชื่อฮุสเซ็นเป็นหัวหน้าหน่วย STAR ของมัลดีฟ (ก็หน่วยswatหรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเรานี่แหละ) และได้พูดคุยกันเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าภาษาอังกฤษของผมจะไม่เข้มแข็งเท่าไรนัก แต่ body language ของผมก็ไม่เป็นรองใครก็แล้วกัน พูดคุยกันรู้เรื่อง แม้จะเมื่อยมือบ้างก็ตาม แต่ฮุสเซ็นก็พยายามเข้าใจผมได้ มันเก่งจริงๆ เพราะหลายๆคน แม้ว่าจะพูดคุยกันเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษา mother tounge ก็ตาม มักจะพูดกันไม่รู้เรื่องเป็นประจำ และหัวข้อเรื่องที่คุยกันเป็นประจำก็คือ............ถูกต้องแล้วคร้าบ เรื่องเมียนี่เอง นินทาเมียได้ถือว่าเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งของบรรดาสามีทั้งหลาย หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง ท้าให้สวนดุสิตหรือเอแบคโพลสำรวจดูได้เลย แต่ว่าเขียนเรื่องนี้ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้น บทความนี้อาจเป็นงานเขียนชิ้นสุดท้ายในชีวิตของผมก็ได้ ใครๆก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้นแหละ ใครอยากรู้คุยกันนอกรอบได้ครับผม ว่ากันต่อไปก็แล้วกัน เอาที่เคยพบประสบมาด้วยตัวผมเองก็แล้วกัน ภรรยาถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิตนอกจากพ่อแม่แล้วก็มีเมียนี่แหละที่สามารถดลบันดาลชีวิตของเราให้มีความสุขหรือทุกข์ได้ ลองดูซักหนึ่งตัวอย่าง ครั้งหนึ่งในชีวิตรับราชการของผม ได้มีโอกาสไปรับราชการที่ สภ.กิ่ง อ.เทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงพักที่อยู่บนเขา รอยต่อสามจังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ และลพบุรี หน้าร้อนก็ร้อนจัดดดดดดดดด เวลานอน ผมต้องเอาพัดลมไอน้ำ (พัดลม 1 เครื่อง + กาละมังใส่น้ำ 1 ใบ) เปิดใส่ในระยะประชิด นอกจากนั้น ยังต้องเอาผ้าขนหนูชุบน้ำโปะหัว เอาเท้าทั้ง 2 ข้างจุ่มน้ำในกาละมัง ร้อนจริงๆครับ ขอบอก แถมน้ำยังไหลสัปดาห์ละ 1 วัน หน้าฝนก็ฝนตกทั้งวัน ขับรถไปไหนไม่ได้เลย ถนนก็เป็นดินลูกรัง อยู่บนเขาอีกต่างหาก พอโดนฝนตกก็เละเป็นโคลน 4wd ยังไม่พอ ต้องเอาโซ่พันล้อด้วยจึงจะสามารถไปได้ ถนนดำ (ถนนคอนกรีต) ก็มีเพียงแค่ 2 สาย ที่เหลือพื้นที่ทั้งหมด 414 ตารางกิโลเมตร เป็นทางลูกรังบนภูเขาทั้งสิ้น และถนนอย่าคิดว่าจะขับรถได้อย่างสะดวกนะครับ ช่วงเช้ากับช่วงเย็น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าขับรถไปไหน รถติดน่าดูเชียวหละ แต่ไม่ใช่ติดเหมือนกรุงเทพนะ รถติดฝูงวัวอ่ะ ประชากรในพื้นที่ประมาณสองหมื่นสองพันคน แต่ประชากรวัวน่าจะมากกว่าคน แต่ที่ผมว่าทรมานที่สุดก็คือหน้าหนาว ปากแตกเจ็บจี๊ดดดดด ตัวก็แตก เหมือนเด็กดักแด้ กลางคืนผมต้องใส่เสื้อกันหนาว รองเท้าผ้าใบ หมวกไหมพรม นอนในถุงนอน ห่มผ้านวม ปิดหน้าต่างทุกบาน ผมคิดว่าบางคืนอาจจะมีหิมะตกด้วย อยู่ที่ สภ.อ.เทพารักษ์ สักพักนึง ผมก็เริ่มรู้จักปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอ ท่านสฤษฎิ์ น้ำค้าง , ปลัดหนึ่ง , ปลัดเป้ และพวกลูกน้องทั้งตำรวจและฝ่ายปกครอง ผมมีความสนุกกับการอยู่ที่นั่นมาก ทำงานมวลชนได้ผลเป็นอย่างดี ก็ทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหัวหน้าหน่วยราชการที่นั่นมีความรักสามัคคีกัน ปรึกษาหารือร่วมมือกันเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผมว่าเป็นเพราะความเข้มแข็งและภาวะผู้นำของท่านหัวหน้าสฤษฎิ์ฯ และ กิ่ง อ.เทพารักษ์ น่าจะมีเทวดารักษาจริงๆสมชื่อ เพราะข้าราชการที่นั่นมีอุดมการณ์และเป็นคนดีกันทุกคน ชาวบ้านก็ไม่มีปัญหาอื่นๆ นอกจากความยากจน และสภาพดินฟ้าอากาศเท่านั้น ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดแทบจะไม่มีเลย ชุมชนที่นั่นเป็นสังคมชนบทโดยแท้จริง รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ช่วยกันสอดส่องดูแลลูกหลานเป็นอย่างดี และมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตลอด ชุมชนเค้าเข้มแข็งจริงๆ ขอบอก และทุกคนไม่ว่าข้าราชการหรือชาวบ้านมีหัวใจเดียวกัน คือ รักกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ฟุตบอล” เตะนะครับไม่ใช่แทง เข้าทางผมอีกแล้ว ผมก็ชอบเตะฟุตบอลเหมือนกัน นี่ถ้าไม่เข้าโรงเรียนเตรียมทหารซะก่อนนะ เกียนติศักดิ์ เสนาเมือง ก็เหอะ อย่าหวังว่าจะได้เกิด และที่ กิ่ง อ.เทพารักษ์ ก็จะมีการแข่งขันฟุตบอลตลอดทั้งปี และพวกเราก็จะเล่นฟุตบอลด้วยกันทุกเย็น จนกระทั่งมีคำพูดเหน็บจากภรรยาของผมว่า “หลวงเค้าจ้างเธอมาเป็นตำรวจ หรือนักฟุตบอลอาชีพกันแน่” อะไรวะ เตะบอลก็ไม่ดี จะให้เตะเมียหรือไง (ผมนึกในใจนะ ไม่กล้านึกดัง) แต่ถึงแม้จะมีความสุขอย่างไร แต่พ่อแม่ และภรรยา ของผมก็อยู่กรุงเทพ ไม่กลับบ้านก็โดนแม่คุณทูนหัวเหน็บแนม แถมเสื้อผ้าเธอก็ยังไม่ยอมซัก เธอบอกว่าเธอแพ้ผงซักฟอก (แล้วทำไมก่อนแต่งไม่บอกกูวะ) รอผมกลับมาดำเนินการ พอเดินทางไกลบ่อยครั้งเข้าก็เริ่มเหนื่อย หาทางย้ายกลับกรุงเทพฯดีกว่า ทำไงล่ะครับ ก็นั่งคิดนอนคิดว่าทำอย่างไรจึงจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯได้ คิดอยู่หลายวันก็พบแสงสว่างแห่งชีวิต มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมจะย้ายกลับบ้าน คิดได้ดังนั้นก็เริ่มเลยดีกว่า คิดออกมั้ยครับว่าแผนของผมคืออะไร .............................. ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบบบบ ..............ภรรยาไง........มีไว้ทำไม เมียไม่ได้มีไว้กราบไหว้บูชาเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมีกุศโลบายในการใช้เมียด้วย ถ้าใช้ตรงๆ โดนอัดแน่ๆ แถมไม่ทำให้ด้วย ว่าแล้วก็เริ่มแผนการเลยดีกว่า แผนของผมก็คือ ไม่กลับบ้าน 2-3 อาทิตย์ บ้าง เดือนนึงบ้าง แป๊บเดียวเท่านั้นแหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอทำได้อย่างไร ผมได้ย้ายจากโรงพักบนภูเขา เข้ามาเป็น สารวัตรกองปราบปราม นี่แหละ อิทธิฤทธิ์ของภรรยาผม พอได้เห็นศักยภาพของเธอ ผมก็รู้แล้วว่า ชีวิตราชการของผมจะราบรื่นได้ก็ต้องไม่ทำให้เธอโกรธอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นได้ลงไปร่วมสังฆกรรมกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานีแน่ๆ ทำไมก่อนแต่งเราถึงไม่รู้ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ตรงนี้ของเธอนะ ทั้งๆที่ผมเคยอ่านเรื่องเชอร์ล๊อคโฮม มีคำพูดนึงที่เชอร์ล๊อคโฮมพูดกับวัตสัน (ผู้ช่วยของเขา) เป็นวลีอำมตะว่า “สิ่งที่มีอาจจะไม่เห็น สิ่งที่เห็นอาจจะไม่มี” แต่ทำไมผมไม่คิดวะ หลังจากผมแต่งงานได้ประมาณ 1 เดือน ท่าน พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เจ้านายของผมได้ถามผมว่า “เป็นไงล่ะ บอกแล้วใช่มั้ย น่ากลัวกว่าที่คิด” แต่ท่านก็ยังให้กำลังใจผมโดยบอกว่า “เมียดุเหรอ ไม่เป็นไร มีทางแก้” ผมตั้งใจฟังท่านมาก กะว่าจะเอาสมุดมาจดให้ละเอียดเลยล่ะ .................อยากรู้วิธีแก้เหมือนกันใช่มั้ย...........ผมว่าคงมีหลายๆคนที่อยากรู้เหมือนผมนั่นแหละ วิธีแก้ของเจ้านายที่สั่งสอนผมก็คือ 1. เมื่อกลับเข้าไปถึงบ้านแล้วสังเกตุว่าภรรยาอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็ให้ยกเลิกภารกิจ แต่ถ้าไม่อยู่ก็ให้ทำตามขั้นตอนต่อไป 2. หามุมสงบๆ แล้วค่อยๆ นั่งลงให้สบายๆ หลับตาผ่อนคลาย หลังพิงฝาผนังไว้ 3. ชูมือขึ้นบนอากาศ เหยียดให้สุดแล้วกำมือไว้ให้แน่นๆ 4. เอามือทั้งสองข้างทุบลงมาที่หัวตัวเอง พร้อมกับเปล่งเสียงให้ดังที่สุดในโลกว่า “กูผิดเอง” ซ้ำไปหลายครั้ง จนกว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้น หรือจนกว่าจะพอใจ ผมว่าถ้าใครมีภรรยาที่ไม่ค่อยใจดีผิดธรรมชาติ ลองเอาวิธีของเจ้านายที่สั่งสอนผมไปใช้ดูก็ได้นะ ไม่ว่ากัน ปล. ผลเป็นอย่างไรกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม ๑๗, ๒๕๕๐

สัญญาลูกผู้ชาย

กะทิ และ ไอ้ตาล
สวยประหาร!!!
"ไอ้กี้" สุนัขตัวโปรดของบ้านกะทิ
“อภริยาติตัว ปรมาลาภา” ความไม่มีภรรยาติดตามตัว เป็นลาภอันประเสริฐ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด แต่ต้องเป็นคนที่มีทรรศนคติในการมองโลกที่ลึกซึ้ง ผมถือว่าบุคคลนี้เป็นอภิมหาปราชญ์ของโลกคนหนึ่งเลย ช่างเป็นผู้ที่ชี้ทางสว่างให้แก่หมู่มวลมนุษยชาติ แต่ก็มีมนุษย์อีกหลายคน แม้ว่าจะเคยทราบปรัชญานี้ก็ยังคงพยายามดิ้นรนหาภรรยามาเป็นของตนเองให้ได้ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภรรยาเป็นของตนเอง ภรรยาของผมเธอชื่อว่า “กะทิ” เนื่องจากว่าผมเป็นคนที่ชื่นชอบผู้หญิงที่หน้าตาดี เก่ง มั่นใจในตัวเองสูง ซึ่งกะทิมีคุณสมบัติครบถ้วน ดังนั้นผมจึงตกหลุมพรางที่เธอได้วางไว้โดยไม่ยากนัก กะทิเป็นตำรวจทำหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ (สบ2) ผู้ชำนาญตรวจยาเสพติด ที่กองพิสูจน์หลักฐาน ในขณะนั้น ผมทำหน้าที่เป็นรองสารวัตรสืบสวน อยู่ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ผมมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดกฏหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ถนัดของผมอย่างนึงก็คือ การจับกุมคดียาเสพติด ผู้จับกุมคดียาเสพติด กับ ผู้ชำนาญตรวจยาเสพติด ชักเริ่มเข้าเค้าแล้ว แรกๆ ก็ปรึกษากันเรื่องงาน บางครั้งเราก็ไม่รู้จักยาเสพติดบางตัวก็โทร.ปรึกษากะทิ บ่อยครั้งเข้าก็เริ่มคุ้นเคย ช่วงหลังๆมา รู้จักหรือไม่รู้จัก ผมโทร.ปรึกษาหมด ก็มันไม่รู้จะคุยอะไรนี่หว่า จนกระทั่งต่อมา ผมก็มีความคิดว่า “ทำไมเราไม่หาผู้ชำนาญฯ เป็นของตัวเองสักคนวะ เวลาทำงานจะได้สะดวก” แล้วมันก็เป็นความคิดที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดชีวิต ต่อมาเมื่อเริ่มคบกัน เวลาว่างกะทิมักชวนผมไปวิ่งรอบสวนลุม ทีแรกเลยผมคิดว่า “หมูแน่ๆ” ก็ผมเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ วิ่งรวมๆกันได้หลายพันกิโลแล้ว วิ่งรอบสวนลุมนี่หมูมาก เดี๋ยวจะวิ่งโชว์พาวเวอร์ซะเลย ปรากฏว่าวันนั้น กะทิวิ่งไป 2 รอบ แล้วเดินวอร์มดาวน์อีก 1 รอบ ส่วนผมเหรอ วิ่งโชว์พาวเวอร์ได้ครึ่งรอบ แล้วก็ไปยืนหอบสักพัก จากนั้นก็นั่งรออยู่ตรงที่เค้าเต้นแอโรบิก ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ากะทิวิ่งยังงี้ทุกวัน ส่วนผมหลังจากจบโรงเรียนนายร้อยแล้วก็ไม่ได้ออกกำลังกายเลย เสียฟอร์มที่สุดในชีวิต เหนื่อยก็เหนื่อย อายก็อาย นอกจากการวิ่งแล้ว กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่กะทิชอบทำก็คือ ยิงปืน เอาอีกแล้ว ครั้งที่แล้วก็วิ่งเล่นเอาผมเกือบตาย คราวนี้ยิงปืนอีก ตายเป็นตายวะ ขอดูฝีมือหน่อย ว่าแล้วก็ชวนกันไปสนามยิงปืนที่สโมสรตำรวจ เป้าหุ่นคน ระยะยี่สิบห้าหลา (ถ้าจำไม่ผิด) เข้าเป้าคอขวดทุกนัด แม้ว่ากลุ่มกระสุนจะไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าถ้าเป็นคนจริงๆ ถ้าไม่ตายก็คงต้องหยอดน้ำข้าวต้มอีกหลายวันแน่นอน ไม่รู้ว่ากิจกรรมยิงปืนนี้ กะทิทำเพื่อส่งสัญญานอะไรบางอย่างให้ผมทราบรึป่าว และแล้ววันหนึ่งผมก็ทราบสัญญานที่กะทิพยายามส่งชัดเจนขึ้น ที่บ้านกะทิเลี้ยงหมาอยู่ 2 ตัว คือ ไอ้กี้ ซึ่งเป็นหมาพันธุ์บางแก้ว สีขาว มีลายสีน้ำตาลอ่อน ลักษณะสวยงาม ดุมากกกกกกก (พอๆกันกับเจ้าของ) และ ไอ้ตาล หมาพันธุ์ side-road (หมาข้างถนน) ตัวอ้วนใหญ่สีน้ำตาล ใจดี(ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ไอ้กี้เรียกได้ว่าเป็นหมาตัวโปรดของทุกคนในบ้านกะทิ มีสิทธิ์พิเศษมากมาย เช่น ได้กินของดีๆ มีสิทธิ์ขึ้นมานั่งๆนอนๆบนบ้านได้ ส่วนไอ้ตาล มันเป็นหมาที่น่าสงสาร ต้องทำงานหนัก จับหนูมั่ง งูมั่ง โดยที่มีไอ้กี้เป็นกองเชียร์อยู่ข้างๆ เอาแต่เห่า แล้วพอไอ้ตาลจัดการกับหนูหรืองูเสร็จ ไอ้กี้ก็จะขโมยผลงานโดยที่มันจะคาบเหยื่อมาไว้ที่หน้าบ้าน แล้วนั่งเฝ้า ทำหน้าเหมือนมันจัดการเองตัวเดียว (พฤติกรรมคล้ายบางคนที่งานไม่ทำ แต่พอเสร็จแล้วก็แต่งตัวหล่อๆ คอยเอาหน้าอย่างเดียว) และเนื่องจากรูปร่างลักษณะที่ไม่สวยงาม และทำงานเอาหน้าไม่เป็น ไอ้ตาลจึงไม่เป็นที่โปรดปรานของทุกคน (ยกเว้นผม) วันนั้นเป็นวันหยุดราชการ ผมก็หากะทิที่บ้าน พอไปถึงปุ๊บ กะทิก็จูงมือผมไปหลังบ้าน ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมตกใจแทบช๊อก ก็ไอ้ตาลสิครับ นอนอ้วน ขาชี้ฟ้า ตาทั้งสองข้างหลับสนิท กะทิบอกผมว่ามันหลับมา 1 วันแล้ว ผม : “ไอ้ตาลมันเป็นอะไรเหรอ” กะทิ : “มันทำผิด ต้องโดนลงโทษ ชั้นเอาโดมิกุมใส่ลูกชิ้นให้มันกินเองแหละ” ผม : “เมื่อไรมันจะฟื้น แล้วมันทำอะไรผิดล่ะ” กะทิ : “คงประมาณวันสองวันแหละ เธอจำรองเท้าแตะคอนเวิร์สสีขาวคาดส้มที่เพิ่งซื้อมาได้รึป่าว คู่ละตั้งเจ็ดร้อย เพิ่งใส่ไม่ถึงอาทิตย์เอง โดนหมากัดซะแล้ว ชั้นว่าไอ้ตาลมันกัดแน่ๆ ก็เลยต้องจัดการซะหน่อย นี่แค่สั่งสอนนะ” ผมนึกในใจ (ไม่กล้านึกดังด้วย) แล้วพาผมมาดูทำไมวะ ส่งสัญญานเตือนอีกแล้ว นี่ขนาดสงสัยยังล่อซะขนาดนี้ แล้วถ้าเห็นคาตา มันจะขนาดไหนวะเนี่ย แล้วผมก็สัญญากับตัวเองว่า “ผมจะไม่กัดรองเท้าของกะทิ เด็ดขาด!!!” ปล.ถ้าเป็นไปได้ กรุณาอย่าหาภรรยาหรือสามีที่รับราชการตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่กองพิสูจน์หลักฐาน....เชื่อผมเหอะ

วันพฤหัสบดี, มีนาคม ๒๒, ๒๕๕๐

รองเท้าแตะกับงานในหน้าที่ตำรวจ

ชมรมดนตรีสากล โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น ๔๗
การเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ถ้าจะให้มีรสชาดต้องอยู่ชมรม โรงเรียนนายร้อยตำรวจมีชมรมมากมาย เช่น ชมรมรักบี้ ฟุตบอล กรีฑา บาสเก็ตบอล ยิงปืน ดนตรีไทย ดนตรีสากล ศิลปะการป้องกันตัว ช่างศิลป์ ฯลฯ แต่ละชมรมก็จะมีบุคลิกแตกต่างกันไป ชมรมกีฬาก็มักจะบึกบึน บ้าแรง ชอบการใช้กำลังอย่างยิ่ง ชมรมดนตรีก็มักจะเป็นพวกติสต์ พริ้ว รักอิสระ และผมเชื่อว่าบุคลิกต่างๆเหล่านี้ก็มักจะติดตัวพวกเรามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ผมมีตัวอย่างนึงมานำเสนอ เมื่อครั้งผมเป็น รอง สวป.อยู่ สน.วัดพระยาไกร ก็ได้รู้จักน้อง นรต.ที่น่ารัก 2 คน คือ ร.ต.ท.เชาว์ และ ร.ต.ต.เต๊ก (นามสมมุติจริงๆนะ)หมวดเต๊กเป็นผู้หมวดจบใหม่จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจหมาดๆ มาดเนี๊ยบ สูงโปร่ง รูปหล่อ หุ่นนักกีฬา ส่วนหมวดบุญเชาว์เป็นรุ่นพี่หมวดเต๊ก 1 ปี ออกแนวสั้น ขาว ตี๋ รูปร่างดูเผินๆ เหมือนลูกชายร้านค้าทอง ทั้งสองคนทำหน้าที่พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร วันหนึ่ง เวลาประมาณ 16.30 น. หลังจากผมปล่อยแถวสายตรวจเรียบร้อย ผมก็เดินลงมาจากโรงพัก พบไอ้น้องรัก 2 คน แต่งกายนอกเครื่องแบบกำลังยืนอยู่ ไอ้เต๊กใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ หล่อตามแบบของมัน ส่วนไอ้เชาว์สวมเสื้อยืด กางเกงขาสามส่วน รองเท้าแตะ ก็หล่อตามแบบของมันอีกแหละ ผมก็ทักทายตามประสา ผม “แต่งตัวหล่อเชียว จะไปไหนกันวะ” เชาว์ “พาน้องไปทำงานครับพี่ เสร็จแล้วว่าจะไปเที่ยวต่อนิดหน่อย” ผม “เออ ระวังตัวหน่อยแล้วกัน อย่าลืมเอาปืนไปด้วยล่ะ ว่าแต่จะไปทำอะไรแถวไหนวะ พี่เข้าเวรอยู่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกกันได้นะ” เชาว์ “ขอบคุณครับพี่ ผมกับน้องก็อยู่แถวๆนี้แหละ ผมดูแลน้องได้ ปืนไม่ต้องเอาไปหรอก หนักเปล่าๆ ผมอยู่ชมรมศิลปะการป้องกันตัวอากิโด” ไอ้เชาว์กะโชว์เก๋ากับไอ้เต๊กเต็มๆ ผม “เออ ดูแลน้องให้ดีๆก็แล้วกัน” จากนั้น ผมก็ออกปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ขณะออกตรวจรู้สึกหนังตาขวามันกระตุกแปลกๆ เหมือนมีลางร้าย .................... และแล้วก็เป็นจริง ตอนค่ำๆ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ใช่แล้วครับ เป็นเบอร์ของไอ้เต๊กโทร.มา ผมรับสายแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงไอ้เต๊กก็ละล่ำละลักมาในสาย เต๊ก “พี่ ช่วยด้วย ๆ ๆ ๆ” อะไรของมันวะ พูดแต่ช่วยด้วย ๆ มีอะไรกันวะ ผม “มีอะไรวะไอ้เต๊ก ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ฟังไม่รู้เรื่องว่ะ” เต๊ก “พี่เชาว์โดนกระทืบ สลบไปแล้ว” ผม “เฮ้ยยยยยยย อยู่ที่ไหนวะ แล้วส่งโรงพยาบาลรึยัง” เต๊ก “ยังไม่ได้ส่งโรงพยาบาลเลยพี่ เพิ่งสดๆ ผมเพิ่งวิ่งออกมาได้ก็โทร.หาพี่ก่อน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน รู้แต่เขต สน.บางนา” ผมจึงได้โทร.หาพี่จ้อ ( พ.ต.ท.ธนาวุฒิ จงจิระ) สวป.สน.บางนา ในขณะนั้น ให้พี่จ้อสั่งสายตรวจตรวจหาและนำน้องเชาว์ส่งโรงพยาบาล ณ โรงพยาบาลเลิศสิน ผมไปเยี่ยมไอ้เชาว์ พอเปิดห้องเข้าไป ผมเจอไอ้เต๊กนั่งฟุบหลับข้างเตียงที่มีไอ้เชาว์กำลังหลับอยู่ (เหมือนฉากในหนังที่นางเอกอยู่โรงพยาบาลแล้วพระเอกเฝ้าไข้) ผมค่อยๆสะกิดไอ้เต๊ก หลังจากสอบถามอาการเรียบร้อยแล้วผมจึงถามเรื่องราวจากไอ้เต๊ก ผม “ไอ้เต๊ก เรื่องเป็นไงวะ” เต๊ก “คือยังงี้พี่ พี่เชาว์ชวนผมไปเคลียร์เรื่องยักยอกรถ ไปกัน 3 คน มีพี่เชาว์ ผม และเจ้าของรถ กะว่าจะไปคุยกับคนที่ยักยอกรถไปเฉยๆ แต่มันไม่เป็นยังงั้นสิพี่” ผมนึกแล้ว ไอ้เชาว์กะโชว์พาวเวอร์ให้น้องชมเป็นขวัญตา เคลียร์คู่กรณีโชว์ไอ้เต๊ก ผม “ทำไมวะ เคลียร์แค่นี้ไม่น่ายาก” เต๊ก “ถ้ามันมีแค่นี้ก็ไม่ยากหรอกพี่ คุยกันได้ แต่นี่ พอไปถึงที่นัดหมาย ไอ้คนที่ยักยอกรถไปมันรออยู่ก่อนแล้ว มันมากันตั้ง 7 คน แล้วมันก็เห็นว่าเรามากันแค่ 3 คน ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย 14 ตีนครับพี่ เข้ามาพร้อมๆกันเลย” ผม “แล้วมึงทำยังไงวะ” เต๊ก “ก็วิ่งสิพี่ อยู่ทำไมล่ะ ผมกับเจ้าของรถวิ่งไม่คิดชีวิตเลยพี่” ผม “แล้วพี่เชาว์ของมึงล่ะ” เต๊ก “พี่เชาว์แกเป็นตำรวจใจถึงครับพี่ แกยืนต่อสู้กับพวกนั้น 1 ต่อ 7 ยังกับในหนังเลยครับพี่ สุดยอด” ผม “แล้วไงล่ะ 1 ต่อ 7 สลบคาตีน นอนโรงพยาบาลเนี่ยนะ แล้วทำไมมึงไม่วิ่งวะไอ้เชาว์” ผมถามไอ้เชาว์ด้วยความสงสัย และทึ่งกับความใจถึงของน้องคนนี้ เชาว์ “เหตุผลมี 2 ประการ ครับพี่ ประการแรก ผมใส่รองเท้าแตะ ไอ้เต๊กกับเจ้าของรถใส่รองเท้าผ้าใบ ผมวิ่งไม่ทันแน่นอนครับ ประการที่สอง สมัยยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ผมอยู่ชมรมศิลปะการป้องกันตัวอากิโด ผมก็อยากลองดูว่าที่ได้ฝึกฝนมา 4 ปี จะใช้ได้จริงรึป่าว” ผม “แล้วเป็นไง ใช้ได้จริงรึป่าววะ” เชาว์ “ตอนแรกๆ ก็ใช้ได้ผลดีครับพี่ แต่ตอนหลังมัน 14 ตีน นะพี่ ปัดไม่ทัน ตอนฝึกที่โรงเรียน ฝึกแค่ตัวต่อตัว แต่ผมลืมไป 1 ต่อ 7 ครูฝึกไม่ได้สอนไว้ ปัดข้างบน มันเตะข้างล่าง ปัดข้างล่าง มันชกข้างบน ตอนหลังเลยปล่อยให้มันเตะให้ชุ่มเลย เละครับพี่ สลบคาตีนมันเลย” ผม “แล้วไอ้เต๊ก ทำไมมึงไม่ช่วยพี่เชาว์วะ” เต๊ก “เหตุผล 2 ประการเหมือนกันครับพี่ ประการแรก 14 ตีน ไม่ไหวครับ ผมเห็นไอ้เจ้าของรถมันวิ่ง ผมตกใจก็เลยวิ่งตามมันไป แต่ไหงแซงมันได้ก็ไม่รู้ พอได้ระยะปลอดภัย ผมก็หันกลับไปมอง นึกว่าพี่เชาว์จะวิ่งตามมาด้วย แต่พี่เชาว์ไม่วิ่ง มัวแต่ปัดอยู่นั่น ช่วงชุลมุนผมก็วิ่งไม่คิดชีวิตแหละครับพี่ ประการที่สอง ผมอยู่ชมรมดนตรีไทยครับ ไม่ค่อยได้ฝึกต่อสู้เท่าไร ไม่ค่อยมั่นใจในวิชาครับพี่” ผม “เออ ไม่ตายก็ดีแล้ว ไอ้เต๊กมันเจ๋วว่ะ ชมรมดนตรีไทย” เต๊ก “พี่ครับ แล้วพี่อยู่ชมรมอะไรครับ” ผม “ดนตรีสากลว่ะ ทำไมวะ” เต๊ก “ผมอยู่ชมรมดนตรีไทย วิ่งได้แค่ครึ่งกิโล แล้วพี่ล่ะ ดนตรีสากล ผมว่าพี่วิ่งได้ถึง สน.แหงๆ” ผม “ไอ้เหี้ยยยยยยยยยม” จากนั้น 2 อาทิตย์ ไอ้เชาว์จึงได้ออกจากโรงพยาบาล และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยเห็นไอ้เชาว์ใส่รองเท้าแตะอีกเลย ปล. อย่าลืมนะครับว่าชื่อในเรื่องนี้เป็นนามสมมุติ (จริงๆนะ)

วันพุธ, กุมภาพันธ์ ๒๘, ๒๕๕๐

แดง ไบเลย์

การเป็นตำรวจ มีหน้าที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ด้วยภารกิจหน้าที่จึงต้องกระทบกระทั่งกับคนหลายประเภทที่กระทำผิดกฎหมาย บางครั้งก็เจอคนดี ที่ทำผิดก็รับผิด (ลูกผู้ชายตัวจริง นับถือจริงๆครับ) แต่หลายครั้งก็เจอกับพวกที่ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด มีเหตุผลนานับประการ แต่ฟังแล้วทะแม่งๆยังไงไม่รู้ เหตุผลกับข้อแก้ตัวมีความหมายใกล้เคียงกันมาก ผมคิดว่ามันน่าจะต่างกันตรงที่ เหตุผลทุกคนฟังแล้วเข้าใจได้ ยอมรับได้ แต่ข้อแก้ตัว มันผู้นั้นเข้าใจคนเดียว ยอมรับได้คนเดียว คนอื่นไม่เข้าใจ ยอมรับไม่ได้ แค่นั้นเอง (เห็นด้วยรึป่าว) ราวๆปี 2540 ขณะนั้นผมปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าสายตรวจที่ สน.ชนะสงคราม ที่ สน.ชนะสงครามนี้ เป็นที่ที่ผมได้พบกับ พ.ต.ท.วิชาญ บริรักษ์กุล รอง ผกก.(ป) ฯ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ผู้ซึ่งเป็นทั้ง ผู้บังคับบัญชา ,พี่ และอาจารย์ผู้สอนสั่งวิชาการตำรวจให้กับผมในหลายๆเรื่อง ทั้งที่มีในตำราเรียน และไม่มีในตำราเรียน รวมทั้งแนวทางในการดำเนินชีวิตราชการ และผมก็รู้สึกภาคภูมิใจมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้รับราชการที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีสถานที่สำคัญมากมาย วังเทเวศก์ วังบางขุนพรหม วัดบวรนิเวศ สนามหลวง ถนนพระอาทิตย์ ท่าพระจันทร์ ถนนสิบสามห้าง ถนนข้าวสาร บางลำพู ฯลฯ พื้นที่ 2.09 ตารางกิโลเมตร ของ สน.ชนะสงคราม มีรอยเท้าผมเดินแทบทุกตารางนิ้ว ผมชอบการเดินตรวจท้องที่เพราะว่ามันสามารถเห็นวิถีชีวิตของคนได้อย่างละเอียด เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และคนในแต่ละวัน เห็นตั้งแต่ขอทาน คนบ้า ไปจนถึงเจ้าของบริษัท ห้างร้าน ช่วงเวลานั้น ภาพยนต์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง กำลังดังสุดขีด ผมก็ได้เห็นสภาพของถนนสิบสามห้าง ที่ แดง ไบเลย์ ยกพวกตีกับ ปุ๊ ระเบิดขวด บางลำพูที่เป็นฉากสำคัญผมก็เดินตรวจทุกวัน ดูหนังเข้าไปแล้วอินจริงๆ และแล้วคืนหนึ่ง ผมไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์คล้ายๆกับหนังเรื่องนี้ และผู้เกี่ยวข้องก็เป็นญาติของตัวละครในเรื่อง ซึ่งขณะนั้นเป็นคนหนึ่งที่ผมชื่นชอบมาก “เป็นเมียเราต้องอดทน” ใช่แล้วครับ แดง ไบเลย์ คืนนั้น ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ขณะที่ผมกำลังออกตรวจท้องที่อยู่กับลูกน้องคู่ใจ ส.ต.ต.สุพจน์ โพธิ์งาม (ยศในขณะนั้น) ผ่านมาถึงถนนตะนาว ก็เจอกลุ่มวัยรุ่นเมาสุรากำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ ผมกับ ส.ต.ต.สุพจน์ฯ จึงเข้าไประงับเหตุ แต่อย่างว่าแหละครับ คนเมา ตำรวจเซ็ง (จริงๆนะ) เถียงกันไปเถียงกันมา ผมว่ามันคงจะไม่จบง่ายๆแน่ๆ เอาไปคุยกันที่โรงพักดีกว่า “ไอ้พจน์ เอาคู่กรณีที่ต่อยกันไปโรงพัก กองเชียร์ไม่ต้องเอาไป” ผมสั่ง ส.ต.ต.สุพจน์ฯ พอสิ้นคำสั่งผม ก็มีเสียงจากคู่กรณีลั่นออกมา คู่กรณี 1 “เอากูไปโรงพักไม่ได้ กูหลานบิ๊กจิ๋ว” เอาอีกแล้ว เจอคนใหญ่คนโตอีกแล้ว เซ็งว่ะ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเหมือนกัน เสียฟอร์มแย่ กองเชียร์เพียบ หญิงมุงดูก็เยอะ อยากรู้เหมือนกัน มันจะเอาอะไรมาสู้เค้า ฝ่ายโน้นเค้าหลานนักการเมืองใหญ่ด้วยสิ แต่แล้วมันก็มีคำตอบที่ทำให้ผมถึงกับอึ้ง คู่กรณี 2 “กูก็ไม่ไป กูหลาน แดง ไบเลย์” แดง ไบเลย์ เนี่ยนะ ท่าทางมันคงนึกจะอ้างใครไม่ได้ เอาล่ะวะ ใหญ่ทั้งคู่ คนนึงก็หลานนักการเมืองใหญ่ อีกคนก็หลานนักเลงโตผู้โด่งดัง ไปกันใหญ่ พลัน ก็มีเสียงดังกังวาลออกมาจากลูกน้องคู่ใจผม ส.ต.ต.สุพจน์ “ไม่ต้องมาใหญ่แถวนี้ ไอ้พวกของปลอม ผม ส.ต.ต.สุพจน์ โพธิ์งาม หลานเทพ โพธิ์งาม ของจริง ไปโรงพักทั้งคู่” ไอ้พจน์พูดพร้อมกับยืดอกโชว์ป้ายชื่อให้ทั้งคู่ดู คู่กรณี ผม กองเชียร์ : ??? ไม่น่าเชื่อ ทั้งหลานบิ๊กจิ๋วและหลานแดง ไบเลย์ หน้าจ๋อยเลย ยอมเดินขึ้นรถตำรวจแต่โดยดี พอถึงโรงพัก ผมเลยบันทึกจับกุมทั้งคู่ ข้อหา เมาสุราประพฤติตนวุ่นวายฯ เสียค่าปรับเข้าหลวงเรียบร้อย แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเสียค่าปรับมันยังมีหน้ามาถามไอ้พจน์อีกว่า “พี่เป็นหลานเทพ โพธิ์งาม จริงๆเหรอพี่” ส.ต.ต.สุพจน์ : “ เปล่าว่ะ ของปลอมเหมือนกัน นามสกุลตรงกันเฉยๆ”

FBI

ชีวิตรับราชการของผม ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสรู้จักกับนายพล อยู่ฝ่ายปฏิบัติมาตลอด 12 ปี รู้จักเต็มที่ก็แค่ผู้กำกับการในโรงพักที่ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่แล้ววันหนึ่งฟ้าก็ลิขิตให้ผมได้รู้จักกับท่าน พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ไม่น่าเชื่อ!!! ผมได้รู้จักกับนายพลตำรวจเอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผมได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงาน รอง ผบ.ตร. ซึ่งท่านมีภารกิจส่วนใหญ่เกี่ยวกับตำรวจต่างชาติ วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง นายหมู ( พล.ต.อ.อิสระพันธ์ฯ) บอกว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เชิญ FBI มาฝึกเรื่องการตรวจสถานที่เกิดเหตุระเบิดให้ 2 สัปดาห์ที่ รร.ตร.ภ.2 จังหวัดชลบุรี และพวกเราต้องช่วยกันจัดการหลักสูตรฯโดยผมกับกะทิ (แม่มดของผม) มีหน้าที่ดูแลครูฝึก พระเจ้าช่วยผมดีใจมากที่จะได้เจอ FBI ตัวเป็นๆ มันจะเท่ห์เหมือนในหนังรึป่าว แล้ววันนั้นก็มาถึง ทีมงานของนายหมูและผมก็ได้ไปรับคณะครูฝึกจาก FBI ที่สนามบินดอนเมือง นำโดยคุณลุง Frank และคณะรวม 5 คน ตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา ภาษาอังกฤษที่ผมเคยได้ร่ำเรียนมาตลอดระยะเวลา 12 ปี จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก็เริ่มถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ด้วยความที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานมันก็นึกออกมั่งไม่ออกมั่งเป็นธรรมดา แต่ผมก็ไม่หวั่นไหว ตีหน้ามึนสู้กับมันไป ฟังออกไม่ออกก็ทำหน้าตาเข้าใจ อันไหนฟังออกก็ตอบ ฟังไม่ออกก็ยิ้มๆไป แค่นี้ก็ดูเหมือนเจ้าบ้านใจดีแล้วหละ แต่ผมก็อุ่นใจที่ยังมีกะทิซึ่งภาษาอังกฤษเป็นเลิศ (อ่าน Bangkok Post ทุกวัน) คอยช่วยเหลือ ตารางการฝึกของหลักสูตรนี้จะ 2 สัปดาห์ หยุดวันเสาร์อาทิตย์ ทุกวันที่มีการฝึก ผมจะรู้สึกสบายใจมาก เพราะว่าหน้าที่ชองผมมีเพียงพาครูฝึกมาถึงสถานที่ฝึกอบรม ส่งครูฝึกกลับถึงที่พัก และคอยดูแลทั่วๆไป แต่จะหนักใจมากในวันที่ไม่มีการฝึก เพราะว่าต้องมีหน้าที่ดูแล คณะครูฝึกทั้งวัน อยากไปไหนก็ต้องพาไป ส่วนมากก็จะไปกันใกล้ๆ เป็นหมู่คณะ แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมแทบช๊อค วันนั้นคณะครูฝึกอยากไปเที่ยวพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพ ได้เลยพี่ ดามพ์จัดให้ ไม่ยากอยู่แล้ว วันนั้นเราไปกันทั้งหมด 8 คน มี คณะ FBI 5 คน , คนขับรถตู้ , กะทิ และก็ผม ผมในฐานะหัวหน้าคณะ (ผมแต่งตั้งตัวเอง) ได้สั่งการให้กะทิเป็นมัคคุเทศก์คอยนั่งอรรถาธิบายคณะ FBI ซึ่งนั่งกันอยู่หลังรถตู้ ส่วนผมนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับรถ เพราะอะไรเหรอ ลองทายดูดิครับ ............คอยกำกับเส้นทางเหรอ เป็นเหตุผลที่ดีนะ..............แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของผมหรอก จริงๆแล้ว ผมกลัวการคุยกับฝรั่งต่างหาก มันเครียดนะ ใครไม่เชื่อ ก็ลองไปนั่งในฝูงฝรั่ง 5 คน ที่มีอัธยาศัยดีๆ ชอบพูดคุย สักชั่วโมง มันบอกไม่ถูกนะ อยากคุยด้วย แต่ภาษาอังกฤษเราเหลือแค่ present simple tense ส่วนอันอื่นคืนให้ครูไปหมดแล้ว “ดามพ์ Mr.Ray เค้าอยากไปซื้อของที่สุขุมวิท ส่วนคนอื่นเค้าอยากไปพระบรมมหาราชวัง แล้วก็ไปนั่งเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา เธอจัดให้หน่อยดิ” กะทิตะโกนมาจากด้านหลัง หูอื้อ ตาลาย สติแตกไปสองนาที เหมือนคอมพิวเตอร์แฮงก์ ต้องรีบูทเครื่องใหม่ ครั้งที่แล้วก็ทีนึงแล้ว นั่งเรือไปกับนายหมู พาพวกทูตไปนั่งเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา เรือผ่านองค์การสะพานปลากรุงเทพ ก็มีฝรั่งถามผมว่าตรงนั้น (เอามือชี้ไปที่องค์การสะพานปลากรุงเทพ) คืออะไร นายหมูก็มองหน้าผมแล้วบอกว่า “เคยเป็น รอง สวป.แถวนี้นี่เรา ตอบเค้าหน่อย” ซวยแล้วกู องค์การสะพานปลาภาษาอังกฤษเค้าว่าอะไรวะ “เอ้า ว่าไง ตรงนั้นมันอะไร” นายหมูถามอีก “ Bangkok Fish Bridge Organization …SIR” นายหมู และ ฝรั่ง ??? แล้วคราวนี้ต้องพา Mr.Ray ไปซื้อของเดี่ยวๆเนี่ยนะ จะรอดดีมั๊ยกู แต่เอาวะ อ.ตร.เผ่าฯ บอกว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ...” ลองเชื่อ อ.ตร.เผ่า ดูสักที ว่าแล้วผมก็บอกให้รถตู้ไปส่งผมกับ Mr.Ray ที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อไปขอยืมรถจาก พ.ต.อ.วิชาญ บริรักษ์กุล ผกก.สน.ชนะสงครามในขณะนั้น เพื่อพา Mr.Ray ไปซื้อของ ส่วนคณะที่เหลือกะทิรับผิดชอบพาไปล่องเรือ และชมพระบรมมหาราชวัง เอาก็เอาวะ ฝรั่งคนเดียวคงไม่ยากเท่าไร ดีกว่าไปกับฝรั่งทั้งฝูง เมื่ออยู่บนรถสองต่อสองกับ Mr.Ray ผมเริ่มเหงื่อออกตามง่ามนิ้วมือและเท้า ตัวเย็นเจี๊ยบ ทั้งที่อากาศข้างนอกก็ร้อนโคตรๆ สายตาจับจ้องไปข้างหน้าไม่วอกแวก มีสมาธิกับการขับรถเต็มที่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ ขอร้องมึงล่ะ อย่าพูดอะไรกับกูนะ กูจะขับรถ” ผมภาวนาในใจ แต่เหมือน Mr.Ray พยายามจะแกล้งผม ถามโน่นถามนี่ตลอด ตอนมึงนั่งรถมามึงไม่ถามกะทิให้เรียบร้อยก่อนวะ มาถามอะไรกะกู อะไรฟังออกก็ตอบ ฟังไม่ออกก็ยิ้มไป ตามสูตรเราดีกว่า มีอยู่คำถามนึงที่ผมฟังออกแต่ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง Mr.Ray ถามผมว่าชอบกินอะไร ผมชอบกินข้าวขาหมู แต่ภาษาอังกฤษมันว่ายังไงวะ Rice Leg pig เหรอ คงไม่ใช่แน่นอน เผอิญรถผ่านแมคโดนัล ตรงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เอาไอ้นี่แหละง่ายดี “ I like McDonald” ผมไม่เคยคิดเลยว่าคำตอบอันนี้จะมีผลในภายภาคหน้า และแล้ววันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยความทุลักทุเล เมื่อฝึกเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงวันที่คณะ FBI จะกลับ และด้วยความมีน้ำใจของคณะครูฝึกจาก FBI Mr.Frank หัวหน้าครูฝึกก็ได้เชิญนายหมูพร้อมคณะผู้จัดการฝึกอบรมและผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้งหมดไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกันที่บริเวณริมสระน้ำโรงแรมที่คณะครู FBI พักอยู่ พอคณะพวกเราไปถึงที่บริเวณสระน้ำ ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงงงวย ก็ลุง Frank แกเล่นเหมา Mcdonald ทั้งร้านมาเลี้ยงพวกเราที่ริมสระน้ำ พวกเราทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินแฮมเบอร์เกอร์กัน แต่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีคำถามแหงๆ ทำไมถึงเลี้ยงแฮมเบอร์เกอร์วะ แล้วผมก็คิดไม่ผิด นายหมูถามกลางวงว่า “แปลกนะ ฝรั่งเลี้ยง McDonald อาหารค่ำ ไม่รู้ว่าคิดยังงไง ใครบอกให้เลี้ยงแฮมเบอร์เกอร์เนี่ย” มองหน้ากันอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบสงัด ผมก็ยกมือแล้วก็บอกนายว่า “ขออนุญาตครับ ผมเองครับนาย ก็ Mr.Ray ถามผมว่าชอบกินอะไร ผมไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยตอบว่าชอบกิน McDonald คาดเค้าคงเอาผมเป็นบรรทัดฐาน นึกว่าคนไทยทุกคนชอบกิน ผมไม่นึกว่าเค้าจะเอามาเลี้ยง dinner ยังงี้ครับ” นายหมู “........” อึ้งเลยหรือครับนาย ครั้งหน้าถ้ามีฝรั่งมาถามผมว่าผมชอบกินอะไร ผมตั้งใจไว้ว่าจะตอบอย่างมั่นใจ “ I like monk jump over the wall …SIR” ผมสัญญา

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม ๒๔, ๒๕๔๙

อาแปะเส้นใหญ่

สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดอย่างหนึ่งของทำงานในหน้าที่สายตรวจคือ การตั้งด่าน เพราะว่านอกจากจะต้องยืนเมื่อยเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เสี่ยงกับรถราที่วิ่งขวักไขว่ ควันรถที่เหม็นอบอวล ความร้อน เสียงก่นด่าของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน (อาจไม่ได้ยินแต่สามารถสัมผัสได้) การตรวจสอบของผู้บังคับบัญชาแล้ว ยังต้องโต้ถียงกับคนทำผิดที่ไม่ยอมรับผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเส้นใหญ่อีกด้วย และเป็นอีกวันหนึ่งที่กระผมเข้าเวรผลัดดึกในฐานะหัวหน้าสายตรวจ สน.ชนะสงคราม ตามแผนการตรวจวันนั้น ต้องมีการตั้งด่านที่บริเวณแยกคอกวัวเวลา 02.00-04.00 น. กระผมพร้อมลูกน้องได้ร่วมกันตั้งด่านตามแผนอย่างเกคร่งครัด และแล้ว.....สิ่งที่รอคอยก็มาถึง เวลาประมาณ 03.00 น. ที่ด่านนั่นแหละ ผมเห็นแล้วว่าลูกน้องผม ส.ต.ต.จารึก (ยศในขณะนั้น) ได้กำลังจับกุมรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์คันหนึ่ง ซึ่งขับขี่มาอย่างรวดเร็วน่าหวาดเสียวแล้วมาเบรคเอี๊ยดอ๊าดที่ด่านเนื่องจากติดรถคันหน้า ท่าทางคนขับรถนั้น เป็นชายวัยกลางคน พูดจีนชัดกว่าพูดไทย แสดงท่าทางใหญ่โต โวยวาย เรียกหาหัวหน้าด่าน เอาอีกแล้ว ไอ้รึกเอากูอีกแล้ว “ผู้กองดามพ์ ช่วยพูดที ผมแจ้งข้อหาเค้าว่า ขับรถประมาทหวาดเสียว แล้วเค้าโวยวายใหญ่เลยครับ เค้าบอกว่าเค้ารู้จักผู้การ เอาไงดี” ด้วยความมีภาวะผู้นำอีกแล้ว (หลบไม่ทัน) เอาก็เอาวะ ผมเดินเข้าไปหาอาแปะคนนั้นทันที “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ หัวหน้าสายตรวจ สน.ชนะสงคราม เป็นหัวหน้าด่านนี้ เห็นลูกน้องผมแจ้งว่าคุณต้องการพบผมเหรอครับ” อาแปะขี้เมาคนนั้นตอบผมด้วยอาการเก๋า (กวนตีนมากๆ) “เออ ลูกน้องลื้อจับอั๊วได้ไง ประมาทตรงไหน ไม่ได้ขับหวาดเสียวด้วย อ๊วก็รู้จักกับผู้การลื้อด้วย” อ้าว อย่างนี้ก็สวยดิ ทำผิดแล้วยังมาเบ่งกับเราอีก ยอมได้ยังไง คนอยู่กันเต็มด่าน ทั้งตำรวจลูกน้องเรา ทั้งชาวบ้านที่ใช้รถใช้ถนน รถบางคันโดนตรวจเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่ไป คาดว่าเค้าคงอยากดูว่าผมจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าถอยแม้แต่ก้าวเดียวเสียฟอร์มแน่ เสียการปกครองลูกน้องด้วยแหงๆ เอาก็เอาวะ “คือว่าอย่างนี้ครับ พวกผมตั้งด่านทำตามหน้าที่ ขออนุญาตให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยครับ ผมเห็นแล้วเฮียขับรถน่าหวาดเสียวจริงๆครับ ขอใบขับขี่ด้วยครับ” เอาล่ะสิ บรรกาศเริ่มตึงเครียด เมื่ออาแปะเส้นใหญ่ตอบผมว่า “ลื้อนี่พูดไม่รู้เรื่อง อั๊วบอกว่าไม่ผิดก็ไม่ผิดสิ เดี๋ยวบอกให้ผู้การย้ายซะเลย” จากนั้นผมก็เริ่มชี้แจงกับอาแปะสักครู่ ยิ่งชี้แจงสียงก็ยิ่งดัง พูดกันจนเสียงแหบแห้งอาแปะแกก็เหมือนไม่เข้าใจชีวิต เอางี้ละกัน “คุณครับ ผมเชิญคุณไปโรงพัก จะไปดีๆหรือจะให้จับตัวไป” อาแปะเห็นผมเริ่มเอาจริงแต่แกก็ไม่ยอมเสียฟอร์ม “เอาสิ ไปโรงพักก็ได้ แล้วจะได้รู้ว่าของจริงเป็นยังไง” เอากะแกสิวะ เนื่องจากสายตรวจไม่มีใบสั่งเหมือนตำรวจจราจร การจับกุมความผิดตาม พรบ.จราจร สายตรวจต้องเขียนบันทึกการจับกุมแล้วส่งพร้อมผู้ถูกจับให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ ผมกับ ส.ต.ต.จารึกฯ จึงได้นำอาแปะคนนั้นไปทำบันทึกการจับกุมที่ สน.ชนะสงคราม โดยให้ ส.ต.ต.จารึกฯ นั่งรถอาแปะไป (กลัวแกหนีไปเฉยๆ เสียฟอร์มแย่) พอถึงห้องปฏิบัติการสายตรวจ ขณะที่ ส.ต.ต.จารึกฯ กำลังเขียนบันทึกการจับกุมอยู่นั้น อาแปะก็ได้โทรศัพท์หาใครก็ไม่รู้ แต่จับใจความได้ว่า “เฮีย บอกผู้การเลยนะว่า ไอ้ผู้กอง สน.ชนะสงคราม มันกวนตีน บอกว่ารู้จักผู้การแล้วมันยังไม่ยอมปล่อยอีก อย่างนี้มันไม่เกรงใจผู้การเลย ย้ายมันเลยนะเฮีย” ฯลฯ ผมได้ยินแล้วก็คันปากยิบๆ ทนไม่ไหวเหมือนกัน ผมหยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมามั่งแกล้งกวนตีนเค้าเหมือนกัน ขณะนั้นผมใช้โทรศัพท์อีริคสันรุ่นอะไรจำไม่ได้ ซึ่งจะต้องเปิดฝาก่อนจึงจะโทร.ได้ แต่ผมไม่เปิดฝา พูดอยู่คนเดียวให้ไอ้แปะมันเห็น “พี่หนั่นเหรอครับพี่ ( เสธ.หนั่น เป็น มท.1ขณะนั้น) ไม่ต้องมาหรอกพี่ แค่อาแปะขี้เมาคนนึงเท่านั้น เรื่องพื้นๆ ผมจัดการได้ ไว้วันหลังมากินข้าวกันดีกว่า” เท่านั้นแหละครับ อาแปะโกรธเนื้อตัวสั่นฟ้องเฮียชื่ออะไรก็ไม่รู้ว่า “ต้องย้ายมันให้ได้นะเฮีย อั๊วไม่ยอม มันกวนตีนอั๊ว” ผมก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน และได้บอกไอ้แปะว่า “เฮียครับ สน.ชนะสงครามงานหนักน่าดูเลย ผมทำเรื่องย้ายมาหลายครั้งแล้ว ย้ายไม่ได้ซะที อย่างไรขอความกรุณาช่วยย้ายให้ด้วยนะครับ เอาให้ไกลๆหน่อย ผมเคยอยู่ ตชด.มาแล้ว ขอไกลกว่านั้นได้ป๊ะ “ไอ้แปะโกรธผมจนหัวแดง “ไอ้รึกพาเฮียไปเสียค่าปรับหน่อยดิ บริการดีๆหน่อยนะ เฮียเค้าจะช่วยผมย้าย” ส.ต.ต.จารึกฯอมยิ้มแล้วพาไอ้แปะไปพบพนักงานสอบสวนและเสียค่าปรับ ขณะนั้น ด.ต.อมร ทศลา กำลังปฏิบัติหน้าที่เสมียนเปรียบเทียบจราจรอยู่ หลังจากเสียค่าปรับเรียบร้อยแล้ว ไอ้แปะได้สอบถาม ด.ต.อมรฯ ด้วยเสียงอันดังเหมือนต้องการจะข่มขู่ผม พร้อมชี้นิ้วมาที่ผม พร้อมถามว่า “ไอ้ผู้กองคนนั้นมันแน่นักเหรอ มันชื่ออะไร อั๊วจะย้ายมัน” ด.ต.อมรฯ ได้มองมาทางผมพร้อมอมยิ้มก่อนตอบว่า “ ผู้กองคนนั้นชื่อ ร.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ส่วนผม ด.ต.อมร ทศลา ขออนุญาตย้ายด้วยครับ ที่นี่งานหนัก เหนื่อยมาก ผมก็แก่แล้ว ขอความกรุณาช่วยย้ายผมด้วยครับ” ไอ้แปะ ....??? เดินตูดบิดหน้าแดงออกจาก สน.ไป เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเราทำถูกต้องแล้ว ไอ้แปะที่ไหนก็ย้ายเราไม่ได้ เสียดายจัง...............