การเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ถ้าจะให้มีรสชาดต้องอยู่ชมรม โรงเรียนนายร้อยตำรวจมีชมรมมากมาย เช่น ชมรมรักบี้ ฟุตบอล กรีฑา บาสเก็ตบอล ยิงปืน ดนตรีไทย ดนตรีสากล ศิลปะการป้องกันตัว ช่างศิลป์ ฯลฯ แต่ละชมรมก็จะมีบุคลิกแตกต่างกันไป ชมรมกีฬาก็มักจะบึกบึน บ้าแรง ชอบการใช้กำลังอย่างยิ่ง ชมรมดนตรีก็มักจะเป็นพวกติสต์ พริ้ว รักอิสระ และผมเชื่อว่าบุคลิกต่างๆเหล่านี้ก็มักจะติดตัวพวกเรามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ผมมีตัวอย่างนึงมานำเสนอ
เมื่อครั้งผมเป็น รอง สวป.อยู่ สน.วัดพระยาไกร ก็ได้รู้จักน้อง นรต.ที่น่ารัก 2 คน คือ ร.ต.ท.เชาว์ และ ร.ต.ต.เต๊ก (นามสมมุติจริงๆนะ)หมวดเต๊กเป็นผู้หมวดจบใหม่จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจหมาดๆ มาดเนี๊ยบ สูงโปร่ง รูปหล่อ หุ่นนักกีฬา ส่วนหมวดบุญเชาว์เป็นรุ่นพี่หมวดเต๊ก 1 ปี ออกแนวสั้น ขาว ตี๋ รูปร่างดูเผินๆ เหมือนลูกชายร้านค้าทอง ทั้งสองคนทำหน้าที่พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร
วันหนึ่ง เวลาประมาณ 16.30 น. หลังจากผมปล่อยแถวสายตรวจเรียบร้อย ผมก็เดินลงมาจากโรงพัก พบไอ้น้องรัก 2 คน แต่งกายนอกเครื่องแบบกำลังยืนอยู่ ไอ้เต๊กใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ หล่อตามแบบของมัน ส่วนไอ้เชาว์สวมเสื้อยืด กางเกงขาสามส่วน รองเท้าแตะ ก็หล่อตามแบบของมันอีกแหละ ผมก็ทักทายตามประสา
ผม “แต่งตัวหล่อเชียว จะไปไหนกันวะ”
เชาว์ “พาน้องไปทำงานครับพี่ เสร็จแล้วว่าจะไปเที่ยวต่อนิดหน่อย”
ผม “เออ ระวังตัวหน่อยแล้วกัน อย่าลืมเอาปืนไปด้วยล่ะ ว่าแต่จะไปทำอะไรแถวไหนวะ พี่เข้าเวรอยู่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกกันได้นะ”
เชาว์ “ขอบคุณครับพี่ ผมกับน้องก็อยู่แถวๆนี้แหละ ผมดูแลน้องได้ ปืนไม่ต้องเอาไปหรอก หนักเปล่าๆ ผมอยู่ชมรมศิลปะการป้องกันตัวอากิโด”
ไอ้เชาว์กะโชว์เก๋ากับไอ้เต๊กเต็มๆ
ผม “เออ ดูแลน้องให้ดีๆก็แล้วกัน”
จากนั้น ผมก็ออกปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ขณะออกตรวจรู้สึกหนังตาขวามันกระตุกแปลกๆ เหมือนมีลางร้าย .................... และแล้วก็เป็นจริง ตอนค่ำๆ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ใช่แล้วครับ เป็นเบอร์ของไอ้เต๊กโทร.มา ผมรับสายแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงไอ้เต๊กก็ละล่ำละลักมาในสาย
เต๊ก “พี่ ช่วยด้วย ๆ ๆ ๆ”
อะไรของมันวะ พูดแต่ช่วยด้วย ๆ มีอะไรกันวะ
ผม “มีอะไรวะไอ้เต๊ก ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ฟังไม่รู้เรื่องว่ะ”
เต๊ก “พี่เชาว์โดนกระทืบ สลบไปแล้ว”
ผม “เฮ้ยยยยยยย อยู่ที่ไหนวะ แล้วส่งโรงพยาบาลรึยัง”
เต๊ก “ยังไม่ได้ส่งโรงพยาบาลเลยพี่ เพิ่งสดๆ ผมเพิ่งวิ่งออกมาได้ก็โทร.หาพี่ก่อน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน รู้แต่เขต สน.บางนา”
ผมจึงได้โทร.หาพี่จ้อ ( พ.ต.ท.ธนาวุฒิ จงจิระ) สวป.สน.บางนา ในขณะนั้น ให้พี่จ้อสั่งสายตรวจตรวจหาและนำน้องเชาว์ส่งโรงพยาบาล
ณ โรงพยาบาลเลิศสิน ผมไปเยี่ยมไอ้เชาว์ พอเปิดห้องเข้าไป ผมเจอไอ้เต๊กนั่งฟุบหลับข้างเตียงที่มีไอ้เชาว์กำลังหลับอยู่ (เหมือนฉากในหนังที่นางเอกอยู่โรงพยาบาลแล้วพระเอกเฝ้าไข้) ผมค่อยๆสะกิดไอ้เต๊ก หลังจากสอบถามอาการเรียบร้อยแล้วผมจึงถามเรื่องราวจากไอ้เต๊ก
ผม “ไอ้เต๊ก เรื่องเป็นไงวะ”
เต๊ก “คือยังงี้พี่ พี่เชาว์ชวนผมไปเคลียร์เรื่องยักยอกรถ ไปกัน 3 คน มีพี่เชาว์ ผม และเจ้าของรถ กะว่าจะไปคุยกับคนที่ยักยอกรถไปเฉยๆ แต่มันไม่เป็นยังงั้นสิพี่”
ผมนึกแล้ว ไอ้เชาว์กะโชว์พาวเวอร์ให้น้องชมเป็นขวัญตา เคลียร์คู่กรณีโชว์ไอ้เต๊ก
ผม “ทำไมวะ เคลียร์แค่นี้ไม่น่ายาก”
เต๊ก “ถ้ามันมีแค่นี้ก็ไม่ยากหรอกพี่ คุยกันได้ แต่นี่ พอไปถึงที่นัดหมาย ไอ้คนที่ยักยอกรถไปมันรออยู่ก่อนแล้ว มันมากันตั้ง 7 คน แล้วมันก็เห็นว่าเรามากันแค่ 3 คน ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย 14 ตีนครับพี่ เข้ามาพร้อมๆกันเลย”
ผม “แล้วมึงทำยังไงวะ”
เต๊ก “ก็วิ่งสิพี่ อยู่ทำไมล่ะ ผมกับเจ้าของรถวิ่งไม่คิดชีวิตเลยพี่”
ผม “แล้วพี่เชาว์ของมึงล่ะ”
เต๊ก “พี่เชาว์แกเป็นตำรวจใจถึงครับพี่ แกยืนต่อสู้กับพวกนั้น 1 ต่อ 7 ยังกับในหนังเลยครับพี่ สุดยอด”
ผม “แล้วไงล่ะ 1 ต่อ 7 สลบคาตีน นอนโรงพยาบาลเนี่ยนะ แล้วทำไมมึงไม่วิ่งวะไอ้เชาว์”
ผมถามไอ้เชาว์ด้วยความสงสัย และทึ่งกับความใจถึงของน้องคนนี้
เชาว์ “เหตุผลมี 2 ประการ ครับพี่ ประการแรก ผมใส่รองเท้าแตะ ไอ้เต๊กกับเจ้าของรถใส่รองเท้าผ้าใบ ผมวิ่งไม่ทันแน่นอนครับ ประการที่สอง สมัยยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ผมอยู่ชมรมศิลปะการป้องกันตัวอากิโด ผมก็อยากลองดูว่าที่ได้ฝึกฝนมา 4 ปี จะใช้ได้จริงรึป่าว”
ผม “แล้วเป็นไง ใช้ได้จริงรึป่าววะ”
เชาว์ “ตอนแรกๆ ก็ใช้ได้ผลดีครับพี่ แต่ตอนหลังมัน 14 ตีน นะพี่ ปัดไม่ทัน ตอนฝึกที่โรงเรียน ฝึกแค่ตัวต่อตัว แต่ผมลืมไป 1 ต่อ 7 ครูฝึกไม่ได้สอนไว้ ปัดข้างบน มันเตะข้างล่าง ปัดข้างล่าง มันชกข้างบน ตอนหลังเลยปล่อยให้มันเตะให้ชุ่มเลย เละครับพี่ สลบคาตีนมันเลย”
ผม “แล้วไอ้เต๊ก ทำไมมึงไม่ช่วยพี่เชาว์วะ”
เต๊ก “เหตุผล 2 ประการเหมือนกันครับพี่ ประการแรก 14 ตีน ไม่ไหวครับ ผมเห็นไอ้เจ้าของรถมันวิ่ง ผมตกใจก็เลยวิ่งตามมันไป แต่ไหงแซงมันได้ก็ไม่รู้ พอได้ระยะปลอดภัย ผมก็หันกลับไปมอง นึกว่าพี่เชาว์จะวิ่งตามมาด้วย แต่พี่เชาว์ไม่วิ่ง มัวแต่ปัดอยู่นั่น ช่วงชุลมุนผมก็วิ่งไม่คิดชีวิตแหละครับพี่ ประการที่สอง ผมอยู่ชมรมดนตรีไทยครับ ไม่ค่อยได้ฝึกต่อสู้เท่าไร ไม่ค่อยมั่นใจในวิชาครับพี่”
ผม “เออ ไม่ตายก็ดีแล้ว ไอ้เต๊กมันเจ๋วว่ะ ชมรมดนตรีไทย”
เต๊ก “พี่ครับ แล้วพี่อยู่ชมรมอะไรครับ”
ผม “ดนตรีสากลว่ะ ทำไมวะ”
เต๊ก “ผมอยู่ชมรมดนตรีไทย วิ่งได้แค่ครึ่งกิโล แล้วพี่ล่ะ ดนตรีสากล ผมว่าพี่วิ่งได้ถึง สน.แหงๆ”
ผม “ไอ้เหี้ยยยยยยยยยม”
จากนั้น 2 อาทิตย์ ไอ้เชาว์จึงได้ออกจากโรงพยาบาล และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยเห็นไอ้เชาว์ใส่รองเท้าแตะอีกเลย
ปล. อย่าลืมนะครับว่าชื่อในเรื่องนี้เป็นนามสมมุติ (จริงๆนะ)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขำดีวะเพื่อน
ตอบลบเรียบเรียงเรื่องดี
ตอบลบเล่าสนุกชวนอ่าน
อ่านแล้วฮา คลายเครียดดี
มีJOBพิเศษเป็นนักเขียนรึป่าว
เมื่อไหร่จะมีเรื่องใหม่วะ
ตอบลบSanook makk.
ตอบลบWating for NEW story.
Your posted picture look so.....
ANCIENT. 5555
Are you 60?
Have you retired from police?
บังเอิญ searchเจอ อ่านแล้วฮามากค่ะ
ตอบลบเรียบเรียงได้น่าอ่านดีด้วย