เรื่องภรรยานี้เป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ล้าสมัยแน่นอน ผมเชื่อว่า topic นี้มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว จากการสังเกตุของผมเอง เห็นว่าการที่ผู้ชายสนทนากันเกินกว่า 3 คน หนึ่งในหัวข้อการสนทนาก็คือ “ศรีภรรยา” นั่นเอง และผมเชื่อว่าต้องเป็นทั่วโลกแน่ๆ
ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไปราชการที่ประเทศมัลดีฟ และใช้ชีวิตร่วมกับตำรวจมัลดีฟเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อนสนิทของผมชื่อฮุสเซ็นเป็นหัวหน้าหน่วย STAR ของมัลดีฟ (ก็หน่วยswatหรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเรานี่แหละ) และได้พูดคุยกันเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าภาษาอังกฤษของผมจะไม่เข้มแข็งเท่าไรนัก แต่ body language ของผมก็ไม่เป็นรองใครก็แล้วกัน พูดคุยกันรู้เรื่อง แม้จะเมื่อยมือบ้างก็ตาม แต่ฮุสเซ็นก็พยายามเข้าใจผมได้ มันเก่งจริงๆ เพราะหลายๆคน แม้ว่าจะพูดคุยกันเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษา mother tounge ก็ตาม มักจะพูดกันไม่รู้เรื่องเป็นประจำ และหัวข้อเรื่องที่คุยกันเป็นประจำก็คือ............ถูกต้องแล้วคร้าบ
เรื่องเมียนี่เอง นินทาเมียได้ถือว่าเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งของบรรดาสามีทั้งหลาย หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง ท้าให้สวนดุสิตหรือเอแบคโพลสำรวจดูได้เลย แต่ว่าเขียนเรื่องนี้ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้น บทความนี้อาจเป็นงานเขียนชิ้นสุดท้ายในชีวิตของผมก็ได้ ใครๆก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้นแหละ ใครอยากรู้คุยกันนอกรอบได้ครับผม
ว่ากันต่อไปก็แล้วกัน เอาที่เคยพบประสบมาด้วยตัวผมเองก็แล้วกัน ภรรยาถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิตนอกจากพ่อแม่แล้วก็มีเมียนี่แหละที่สามารถดลบันดาลชีวิตของเราให้มีความสุขหรือทุกข์ได้ ลองดูซักหนึ่งตัวอย่าง ครั้งหนึ่งในชีวิตรับราชการของผม ได้มีโอกาสไปรับราชการที่ สภ.กิ่ง อ.เทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงพักที่อยู่บนเขา รอยต่อสามจังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ และลพบุรี หน้าร้อนก็ร้อนจัดดดดดดดดด เวลานอน ผมต้องเอาพัดลมไอน้ำ (พัดลม 1 เครื่อง + กาละมังใส่น้ำ 1 ใบ) เปิดใส่ในระยะประชิด นอกจากนั้น ยังต้องเอาผ้าขนหนูชุบน้ำโปะหัว เอาเท้าทั้ง 2 ข้างจุ่มน้ำในกาละมัง ร้อนจริงๆครับ ขอบอก แถมน้ำยังไหลสัปดาห์ละ 1 วัน หน้าฝนก็ฝนตกทั้งวัน ขับรถไปไหนไม่ได้เลย ถนนก็เป็นดินลูกรัง อยู่บนเขาอีกต่างหาก พอโดนฝนตกก็เละเป็นโคลน 4wd ยังไม่พอ ต้องเอาโซ่พันล้อด้วยจึงจะสามารถไปได้ ถนนดำ (ถนนคอนกรีต) ก็มีเพียงแค่ 2 สาย ที่เหลือพื้นที่ทั้งหมด 414 ตารางกิโลเมตร เป็นทางลูกรังบนภูเขาทั้งสิ้น และถนนอย่าคิดว่าจะขับรถได้อย่างสะดวกนะครับ ช่วงเช้ากับช่วงเย็น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าขับรถไปไหน รถติดน่าดูเชียวหละ แต่ไม่ใช่ติดเหมือนกรุงเทพนะ รถติดฝูงวัวอ่ะ ประชากรในพื้นที่ประมาณสองหมื่นสองพันคน แต่ประชากรวัวน่าจะมากกว่าคน แต่ที่ผมว่าทรมานที่สุดก็คือหน้าหนาว ปากแตกเจ็บจี๊ดดดดด ตัวก็แตก เหมือนเด็กดักแด้ กลางคืนผมต้องใส่เสื้อกันหนาว รองเท้าผ้าใบ หมวกไหมพรม นอนในถุงนอน ห่มผ้านวม ปิดหน้าต่างทุกบาน ผมคิดว่าบางคืนอาจจะมีหิมะตกด้วย
อยู่ที่ สภ.อ.เทพารักษ์ สักพักนึง ผมก็เริ่มรู้จักปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอ ท่านสฤษฎิ์ น้ำค้าง , ปลัดหนึ่ง , ปลัดเป้ และพวกลูกน้องทั้งตำรวจและฝ่ายปกครอง ผมมีความสนุกกับการอยู่ที่นั่นมาก ทำงานมวลชนได้ผลเป็นอย่างดี ก็ทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหัวหน้าหน่วยราชการที่นั่นมีความรักสามัคคีกัน ปรึกษาหารือร่วมมือกันเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผมว่าเป็นเพราะความเข้มแข็งและภาวะผู้นำของท่านหัวหน้าสฤษฎิ์ฯ และ กิ่ง อ.เทพารักษ์ น่าจะมีเทวดารักษาจริงๆสมชื่อ เพราะข้าราชการที่นั่นมีอุดมการณ์และเป็นคนดีกันทุกคน ชาวบ้านก็ไม่มีปัญหาอื่นๆ นอกจากความยากจน และสภาพดินฟ้าอากาศเท่านั้น ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดแทบจะไม่มีเลย ชุมชนที่นั่นเป็นสังคมชนบทโดยแท้จริง รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ช่วยกันสอดส่องดูแลลูกหลานเป็นอย่างดี และมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตลอด ชุมชนเค้าเข้มแข็งจริงๆ ขอบอก และทุกคนไม่ว่าข้าราชการหรือชาวบ้านมีหัวใจเดียวกัน คือ รักกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ฟุตบอล” เตะนะครับไม่ใช่แทง เข้าทางผมอีกแล้ว ผมก็ชอบเตะฟุตบอลเหมือนกัน นี่ถ้าไม่เข้าโรงเรียนเตรียมทหารซะก่อนนะ เกียนติศักดิ์ เสนาเมือง ก็เหอะ อย่าหวังว่าจะได้เกิด และที่ กิ่ง อ.เทพารักษ์ ก็จะมีการแข่งขันฟุตบอลตลอดทั้งปี และพวกเราก็จะเล่นฟุตบอลด้วยกันทุกเย็น จนกระทั่งมีคำพูดเหน็บจากภรรยาของผมว่า “หลวงเค้าจ้างเธอมาเป็นตำรวจ หรือนักฟุตบอลอาชีพกันแน่” อะไรวะ เตะบอลก็ไม่ดี จะให้เตะเมียหรือไง (ผมนึกในใจนะ ไม่กล้านึกดัง) แต่ถึงแม้จะมีความสุขอย่างไร แต่พ่อแม่ และภรรยา ของผมก็อยู่กรุงเทพ ไม่กลับบ้านก็โดนแม่คุณทูนหัวเหน็บแนม แถมเสื้อผ้าเธอก็ยังไม่ยอมซัก เธอบอกว่าเธอแพ้ผงซักฟอก (แล้วทำไมก่อนแต่งไม่บอกกูวะ) รอผมกลับมาดำเนินการ พอเดินทางไกลบ่อยครั้งเข้าก็เริ่มเหนื่อย หาทางย้ายกลับกรุงเทพฯดีกว่า ทำไงล่ะครับ ก็นั่งคิดนอนคิดว่าทำอย่างไรจึงจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯได้ คิดอยู่หลายวันก็พบแสงสว่างแห่งชีวิต มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมจะย้ายกลับบ้าน คิดได้ดังนั้นก็เริ่มเลยดีกว่า คิดออกมั้ยครับว่าแผนของผมคืออะไร .............................. ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบบบบ ..............ภรรยาไง........มีไว้ทำไม เมียไม่ได้มีไว้กราบไหว้บูชาเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมีกุศโลบายในการใช้เมียด้วย ถ้าใช้ตรงๆ โดนอัดแน่ๆ แถมไม่ทำให้ด้วย ว่าแล้วก็เริ่มแผนการเลยดีกว่า แผนของผมก็คือ ไม่กลับบ้าน 2-3 อาทิตย์ บ้าง เดือนนึงบ้าง แป๊บเดียวเท่านั้นแหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอทำได้อย่างไร ผมได้ย้ายจากโรงพักบนภูเขา เข้ามาเป็น สารวัตรกองปราบปราม นี่แหละ อิทธิฤทธิ์ของภรรยาผม พอได้เห็นศักยภาพของเธอ ผมก็รู้แล้วว่า ชีวิตราชการของผมจะราบรื่นได้ก็ต้องไม่ทำให้เธอโกรธอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นได้ลงไปร่วมสังฆกรรมกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานีแน่ๆ ทำไมก่อนแต่งเราถึงไม่รู้ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ตรงนี้ของเธอนะ ทั้งๆที่ผมเคยอ่านเรื่องเชอร์ล๊อคโฮม มีคำพูดนึงที่เชอร์ล๊อคโฮมพูดกับวัตสัน (ผู้ช่วยของเขา) เป็นวลีอำมตะว่า “สิ่งที่มีอาจจะไม่เห็น สิ่งที่เห็นอาจจะไม่มี” แต่ทำไมผมไม่คิดวะ หลังจากผมแต่งงานได้ประมาณ 1 เดือน ท่าน พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เจ้านายของผมได้ถามผมว่า “เป็นไงล่ะ บอกแล้วใช่มั้ย น่ากลัวกว่าที่คิด” แต่ท่านก็ยังให้กำลังใจผมโดยบอกว่า “เมียดุเหรอ ไม่เป็นไร มีทางแก้” ผมตั้งใจฟังท่านมาก กะว่าจะเอาสมุดมาจดให้ละเอียดเลยล่ะ .................อยากรู้วิธีแก้เหมือนกันใช่มั้ย...........ผมว่าคงมีหลายๆคนที่อยากรู้เหมือนผมนั่นแหละ วิธีแก้ของเจ้านายที่สั่งสอนผมก็คือ
1. เมื่อกลับเข้าไปถึงบ้านแล้วสังเกตุว่าภรรยาอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็ให้ยกเลิกภารกิจ แต่ถ้าไม่อยู่ก็ให้ทำตามขั้นตอนต่อไป
2. หามุมสงบๆ แล้วค่อยๆ นั่งลงให้สบายๆ หลับตาผ่อนคลาย หลังพิงฝาผนังไว้
3. ชูมือขึ้นบนอากาศ เหยียดให้สุดแล้วกำมือไว้ให้แน่นๆ
4. เอามือทั้งสองข้างทุบลงมาที่หัวตัวเอง พร้อมกับเปล่งเสียงให้ดังที่สุดในโลกว่า “กูผิดเอง” ซ้ำไปหลายครั้ง จนกว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้น หรือจนกว่าจะพอใจ
ผมว่าถ้าใครมีภรรยาที่ไม่ค่อยใจดีผิดธรรมชาติ ลองเอาวิธีของเจ้านายที่สั่งสอนผมไปใช้ดูก็ได้นะ ไม่ว่ากัน
ปล. ผลเป็นอย่างไรกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ
วันศุกร์, กรกฎาคม ๑๓, ๒๕๕๐
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เอาอีกแล้ว สว.ดามพ์ นินทา เอ้ย กล่างถึงพี่กะทิอีกแล้ว แถมมีนาย มาเอี่ยวด้วย อีก แย่แว้ววววววววววว
ตอบลบอ่านจบหมดแล้วน่ะพี่ดาม....ขำเหมือนเดิม...เขียนอีกเยอะ ๆ สิ จะได้รวมเล่มสักที :}
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบผมเป็นคนหนึ่ง..
ตอบลบที่รัก(
และต้องเคารพ)"ภรรยา"
มาก
แต่..ได้มาอ่านเรื่องเล่า ของ"น้าดาม"ถึงเจ๊.กะทิ แล้ว ทำให้รู้ว่า..(ตำแหน่ง..ประธานคนรักครอบครัวเหมาะกับน้าจริงๆ..)
Na Lek Maesot