วันจันทร์, สิงหาคม ๐๗, ๒๕๔๙

ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก

ชีวิตข้าราชการตำรวจเป็นชีวิตที่น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นอาชีพที่ทำความดีก็แค่เสมอตัว เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเท่านั้น แต่หากมีตำรวจ (ส่วนน้อย) ทำไม่ดีเมื่อไร ก็จะมีแต่คนสาปแช่ง ตำหนิติเตียนทันทีโดยไม่ฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่ทุกสังคม ทุกอาชีพย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ปะปนกัน และตำรวจก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งสังคมให้หัวโขนเป็นผู้รักษากฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน ดังนั้นการทำงานของตำรวจจึงต้องสัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากต้องรักษากฎกติกาของสังคม บางครั้ง (ส่วนมาก) การทำงานของตำรวจจึงต้องจับกุมผู้ที่ทำผิดกฎกติกาทำให้ประชาชนส่วนมากไม่ค่อยชอบตำรวจและปลูกฝังเด็กๆให้ไม่ชอบตำรวจไปด้วย เวลาเด็กร้องไห้เกเรก็มักจะขู่เด็กว่า..... “เดี๋ยวตำรวจจับไปเข้าคุกนะ” เมื่อเด็กๆโตขึ้นจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีกับตำรวจ แต่ก็น่าแปลก เวลาเดือดร้อนทีไร ไม่ว่าจะเป็น รถเสีย คนป่วย งูเข้าบ้าน หมากัดกัน ฯลฯ ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงตำรวจก่อนเพื่อนทุกที (เวลางูเข้าบ้านผม ผมก็เรียกตำรวจเหมือนกัน) แล้วตำรวจก็ไม่สามรถปฏิเสธการร้องขอจากประชาชนได้ ต้องดำเนินการให้ทุกราย เนื่องจากภารกิจของตำรวจที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนตำรวจก็คือ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชน” ชีวิตรับราชการตำรวจของผม ในช่วงหนึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าสายตรวจที่ สน.ชนะสงครามและ สน.วัดพระยาไกร รวมกันแล้ว 7 ปี ทำให้ได้เจอประสบการณ์หลายอย่างและพบสัจจธรรมในชีวิต เจอทั้งคนดี คนชั่ว ปะปนกันไป การทำงานของสายตรวจในนครบาลนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ผลัด คือ ผลัดเช้า 08.00-16.00 น. ผลัดบ่าย 16.00-24.00 น. ผลัดดึก 00.01-08.00 น. และผลัดที่น่าปวดหัวที่สุดคือผลัดดึก เหตุผลคือว่า ผลัดดึกต้องมีภารกิจในการตรวจสอบสถานบริการให้ปิดตามเวลาที่กฎหมายกำหนด และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “คนเมา” ที่ สน.ชะสงคราม ประมาณปี พ.ศ.2540 ขณะนั้น สถานจำหน่ายสุรา(ผับ)แถวถนนตะนาวกำลังบูมสุดขีด เรียกได้ว่าแทบจะปิดถนนกินเหล้ากันเลย และมีผับเรียงรายติดกันหลายสิบร้าน แต่ด้วยความเป็นหัวหน้าสายตรวจที่ต้องตรวจสอบให้ผับเหล่านั้นปิดตามเวลาที่กฎหมายกำหนดทุกวัน จึงทำให้ผมกับเจ้าของร้านทุกร้านรู้จักและสนิทสนมกันดี เรียกได้ว่ามีสัมพันธภาพที่ดีในการทำงานก็ได้ เนื่องจากวันที่ผมเข้าเวรผลัดดึก พอรถสายตรวจของผมเข้าไปในถนนตะนาว เจ้าของร้านต่างทราบว่าถึงเวลาต้องปิดแล้ว และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่แล้ว.......มีอยู่วันหนึ่ง มีร้านเปิดใหม่วันแรกซึ่งคงจะยังไม่ทราบวัฒนธรรมของผับในถนนตะนาว ที่พวกเราจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปิดตามเวลา ในเมื่อไม่ปิดผมในฐานะหัวหน้าสายตรวจผลัดนั้น จำต้องแสดงภาวะผู้นำ(โดยสภาพบังคับ) เดินเข้าไปในร้านดังกล่าวเพื่อจะชี้แจงทำความเข้าใจในกติการที่พวกเราปฏิบัติกันอยู่ ไม่มีใครรู้เลยว่าผมกำลังเดินเข้าสู่วงล้อมของข้าศึกโดยไม่รู้ตัว ร้านนั้นเป็นสถานที่ชุมนุมกันของ.....สาวสวยกล้ามใหญ่ มีทั้งประเภทสวยงาม ประเภทขบขัน ประเภทหุ่นไม่ให้แต่ใจรัก (กลางวันแบกข้าวสาร กลางคืนเป็นกระเทย) ฯลฯ น่าเชื่อว่าเป็นสมาคมกระเทยแห่งประเทศไทย พออ้าปากจะชี้แจง ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฝูงสาวกล้ามใหญ่ทั้งหลาย ได้ระดมยิงคำถามเข้ามาจนผมหูอื้อตาลาย ตอบไม่ทัน เหลียวซ้ายแลขวาหาลูกน้องคู่ใจก็ไม่เห็น ส.ต.ต.สุพจน์ฯ ยืนกินน้ำอยู่ร้านข้างๆเฉยเลย กูตายแน่วันนี้ คำถามมีมากมายอื้ออึงรอบตัวผม "ทำไมต้องปิด,ร้านอื่นยังไม่เห็นปิดเลย ฯลฯ" ชุลมุนวุ่นวายมาก ทำไงดีวะกู เอางี้ละกัน ผมตะโกนออกไปว่า “ฟังกันก่อนดิ ขอพูดมั่ง เอาแต่ถามจะเอาคำตอบรึป่าว?” บัดนั้น (ภาพสโลว์โมชั่น ไฟฟอลโลว์ส่องตามมา) ได้มีสาวสวยสายเดี่ยว ร่างสูงโปร่งแต่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ดูท่าทางน่าจะเป็นเจ้าของร้านเดินตรงเข้ามาถามผมว่า “ชั้นผิดอะไรยะ” เร็วเท่าความคิดไม่รู้ว่าผมตอบไปได้ยังไง “คุณเป็นกระเทยโดยไม่ได้รับอนุญาต” เท่านั้นแหละ อึ้งกันไปทั้งร้าน นิ่งกันทั้งร้านประมาณ 30 วินาที จากนั้น สาวสวยคนดังกล่าวก็ยิ้มปนหัวเราะและถามผมว่า “อ้าว เป็นกระเทยต้องขออนุญาตด้วยเหรอ แล้วขอที่ไหนล่ะ ต้องทำไงมั่งคะ?” เวรแล้วกูโดนยอกย้อนอีก “ต้องไปทำเรื่องขออนุญาตเป็นกระเทยที่โรงพัก แต่ว่าวันนี้ให้ปิดร้านให้เรียบร้อยก่อน วันนี้จะยกเว้นข้อหาเป็นกระเทยโดยไม่รับอนุญาตให้ ดีป๊ะ” งงกันหนักเข้าไปอีก แต่ร้านก็ปิดลงด้วยดี ฮากันทั้งร้าน เกือบไปแล้วมั้ยล่ะไอ้ดามพ์ เกือบเอาชีวิตราชการมาทิ้งท่ามกลางกระเทยโขลงใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมได้สั่งการให้ ส.ต.ต.สุพจน์ (ยศในขณะนั้น) ห้ามทิ้งผมอีกนะ กูขอร้องมึงล่ะ

๒ ความคิดเห็น:

  1. อยากเจอตัวจริง พี่ dam จังเลยค่ะ จะขอกอด หน่อย

    ตอบลบ
  2. อยากเขกกระโหลก พี่ดามพ์จังค่ะ

    ตอบลบ